การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร เกิดจากไอเดียของเลขาธิการสมาคมยูฟ่า เป็นชาวฝรั่งเศสชื่อ นายอองรี เดอโลเนย์

เสนอให้จัดทุก 4 ปี โดยเว้นช่วงให้ห่างจากบอลโลก 2 ปี

แต่ไม่ทันที่นายเดอโลเนย์จะได้เห็นการแข่งขันที่เป็นรูปร่าง เจ้าตัวชิงลาโลกไปก่อนในปีค.ศ.1957 ส่วนการแข่งขันฟุตบอลยูโรมาเปิดสนามนัดปฐมฤกษ์เอาเมื่อปี 1960


ปีนั้นเรียกว่าถ้วยยูโรเยน เนชั่นส์ คัพ มีทีมชาติแค่ 4 ทีมที่เข้าแข่งขันรายการนี้ได้แก่ สหภาพโซเวียต ฝรั่งเศส เชกโกสโลวะเกีย และยูโกสลาเวีย

ทีมเข้าชิงชนะเลิศคือทีม สหภาพโซเวียต กับยูโกสลาเวีย การแข่งขันเข้มข้นเร้าใจมาก วิกเตอร์ โปเนเดลนิก นักเตะโซเวียต ซัดประตูชัยได้ในนาทีที่ 113 ปิดฉากด้วยสกอร์ 2-1

4 ปีต่อมา ในค.ศ.1964 เป็นชัยชนะแรกของ สเปน ในการแข่งขันระดับโลก เมื่อประเทศเจ้าภาพเข้าชิงกับสหภาพโซเวียต ในเกมที่ดุเดือดเข้มข้น

ในปีค.ศ.1968 กองทัพอัซซูรี่ เจ้าของแชมป์บอลโลกสามสมัย เพิ่งจะได้จับถ้วยยูโรเป็นสมัยแรก แถมยังได้มาด้วยความเฮง เมื่อในรอบรองชนะเลิศเสมอกับโซเวียต 0-0 และต้องชี้ชะตาด้วยการโยนหัวก้อย ซึ่งอิตาลีเลือกหัวและผ่านเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศกับยูโกสลาเวีย

ในรอบไฟนอล เกมการแข่งขันสุดมันเช่นกัน สุดท้าย อิตาลี ชนะไปด้วยสกอร์ 2-1

รายการเดียวกันนี้ในนัดดวลแข้งศึกสายเลือดระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ยังสร้างสถิติที่มีผู้ชมมากที่สุด 134,000 คน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นสถิติที่ทำลายได้ยาก

ในปี 1972 อินทรีเหล็ก สมัยเป็นเยอรมันตะวันตก ซัดลูกตุงตาข่ายอยู่ฝ่ายเดียว ชนะโซเวียตไปด้วยสกอร์ 3-0 โดย 2 ลูกเป็นของเกิร์ต มุลเลอร์ และไม่น่าแปลกใจที่อินทรีเหล็กชุดสมบูรณ์แบบทีมนี้ ไปคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในอีก 2 ปีต่อมา

ในปี 1976 การแข่งขันรอบรองชนะเลิศต่างเป็นนัดที่ต้องต่อเวลากันทั้งสองฝ่าย ผลลงเอยด้วยเชกชนะฮอลแลนด์ 3-1 และเยอรมันชนะยูโกฯ 4-2

ในนัดชิงชนะเลิศ แข่งกันถึงขั้นดวลจุดโทษ ซึ่งอูลี่ เฮอเนส เป็นนักเตะเยอรมันคนแรกที่พลาดการยิงจุดโทษ ทำให้ เชกคว้าถ้วยยูโรไปครองได้สำเร็จ

ปี 1980 อินทรีเหล็กกลับมาผงาดได้อีกครั้ง โดยมีคู่เข้าชิงม้ามืดอย่างเบลเยี่ยม

ฮอร์สต์ ฮูร์เบสช์ ศูนย์หน้ายักษ์โขมด ยิง 2 ลูก พาทีมคว้าแชมป์ด้วยสกอร์ 2-1

ปี 1984 สี่ทหารเสือ ฝรั่งเศส มิเชล พลาตินี่ ฌอง ติกานา , อแลง กิเรส และหลุยส์ เฟอร์นันเดซ นำทีมตราไก่ ในฐานะประเทศเจ้าภาพ พิชิตถ้วยยูโรได้เป็นสมัยแรก โดยชนะสเปน 2-0

ปี 1988 สามดาวดัง รุด กุลลิต-มาร์โก แวน บาสเทนและแฟรงก์ ไรจ์การ์ด นำทีม ฮอลแลนด์คว้าถ้วยยูโรถ้วยแรก

แวน บาสเทน ทำแฮตทริกชนะเยอรมัน ผ่านเข้าไปชิงกับสหภาพโซเวียต และสร้างประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ให้อัศวินสีส้มอีกครั้ง นับตั้งแต่ยุคของโยฮัน ครัฟฟ์

ปี 1992 ม้ามืดจากแดนโคนม เดนมาร์ก เอาชนะทีมเก่งอย่างฮอลแลนด์ เข้าชิงกับแกร่งอย่างอินทรีเหล็กเยอรมัน ที่เพิ่งคว้าแชมป์บอลโลกปี 1990 มาหมาดๆ โดยเดนมาร์กชนะเยอรมันด้วยสกอร์ 2-0

เครดิตทั้งสองนัดตกเป็นของปีเตอร์ ชไมเคิล ผู้รักษาประตูที่กลายเป็น “มือหนึบ” ของโลก

ปี 1996 การแข่งขันครั้งล่าสุด เยอรมัน หวนคืนความยิ่งใหญ่ในถ้วยยุโรป ชนะคู่ปรับเก่าอย่างอังกฤษ ในรอบรองชนะเลิศด้วยการดวลจุดโทษและเข้าชิงกับเชก โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์ กลายเป็นฮีโร่ ยิง 2 ประตู โดยประตูที่ 2 เป็น โกลเด้น โกล ครั้งแรกของกฎฟีฟ่า

ปีค.ศ.2000 ฝรั่งเศส คว้าแชมป์ โดยชนะอิตาลีในรอบชิงชนะเลิศ 2 ต่อ 1 ด้วยลูกโกลเด้น โกล ของเดวิด เทรเซเกต์

ส่วนการแข่งขันที่ในปี 2004 จัดขึ้นที่โปรตุเกส ทีมม้ามืดกรีซ ภายใต้การคุมทีมของโค้ชเยอรมัน อ๊อตโต้ เรฮาเกล คว้าแชมป์ไปได้เหนือความคาดหมาย จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น เทพนิยายกรีก

 ขอบคุณข้อมูลจาก www.dek-d.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น