เสาร์ที่ผ่านมาพี่ดวงดีได้มีโอกาสไปร่วมงานมหากุศล งานภูเขาทอง วัดสระเกศประจำปี 2554  บรรยากาศสนุกสนานมาก ถึงแม้ว่าผู้คนจะดูบางตากว่าปีก่อนๆ เพระาว่าเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนเจดีย์ภูเขาทองทีไรก็อดที่จะอิ่มเอมใจไม่ได้  พี่ดวงดีไม่ลืมเก็บภาพสวยๆมาฝากเพื่อนๆชาว Horoguide.com ด้วยนะ

หากพูดถึงงานวัด คนในรุ่นก่อนไม่มีใครไม่รู้จักงานภูเขาทอง วัดสะเกศ
เป็นงานที่มีสีสัน เต็มไปด้วยการแสดง การละเล่น และของกินมากมาย
ในแต่ละปีผู้คนต่างรอคอยงานวัดภูเขาทองอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อรองานวัดมาถึง

เพราะปีหนึ่งจะมีโอกาสได้เที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินครั้งหนึ่งงานวัด สระเกศนั้นมีความเก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพมหานคร ที่ยังจัดมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มมีมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เกี่ยวเนื่องกับงานเทศกาลการละเล่นทางน้ำ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดให้ขุดคลองใหญ่ข้างวัดสระเกศขึ้นคลองหนึ่ง พระราชทานนามว่า “คลองมหานาค” เพื่อให้ชาวพระนครเล่นเพลงเรือ เล่นสงกรานต์ และลอยกระทง ในเทศกาลทางน้ำ ตามแบบอย่างคลองมหานาคที่ทุ่งภูเขาทอง ครั้งกรุงศรีอยุธยา  จึงเป็นเหตุให้เกิดงานวัดสระเกศสืบต่อมา

ครั้นต่อ มา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓  ทรงเห็นว่า  ที่คลองมหานาค  วัดสระเกศ เริ่มมีประชาชนมาเที่ยวงานเทศกาลทางน้ำมากขึ้นทุกปี จึงโปรดให้หล่อพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง ประดิษฐานไว้ที่ริมคลองท่าน้ำวัดสระเกศ  เพื่อให้ประชาชนที่มาเที่ยวงานเทศกาลได้เคารพสักการะบูชา   และถวายพระนามว่า “หลวงพ่อโต”  ภายหลัง เมื่อบ้านเมืองเจริญมากขึ้น จึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่เชิงบรมบรรพต ภูเขาทอง หันพระพักตร์ออกสู่คลองมหานาคเช่นเดิม

งานวัดสระเกศเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น และเป็นที่รู้จักของประชาชนอย่างกว้างขวางในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างภูเขาทองต่อจากรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ จนแล้วเสร็จ พระองค์ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ที่ขุดได้จากกรุงกบิลพัสดุ์ โดยมิสเตอร์ วิลเลียม  เปปเป ชาวอังกฤษ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพต ภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา ๗ วัน  ๗ คืน  ในช่วงเทศกาลลอยกระทง จนกลายเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ  สำหรับชาวพระนครที่เก่าแก่ที่สุดสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์  ปราโมช ได้เขียนเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ  ไว้ในคอลัมน์ซอยสวนพลู หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ว่า

“ประเทศ ไทยนี้มีเจดีย์และที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากมาย แต่ที่แน่ใจว่าพระบรมสารีริกธาตุองค์จริง  คือ องค์ที่บรรจุที่บรมบรรพต ภูเขาทอง เพราะมีบันทึกเป็นจดหมายเหตุประกอบโดยละเอียดตั้งแต่ขุดพบ จนอัญเชิญจากประเทศอินเดียมาสู่ประเทศไทย ประกอบกับทางประเทศอินเดีย ก็มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย ครั้นคณะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาถึงเมืองสมุทรปราการ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานในวิหาร เกาะพระสมุทรเจดีย์ ทำเพื่อการเฉลิมฉลอง และที่พระสมุทรเจดีย์นี้เอง พระบรมสารีริกธาตุได้เกิดปาฏิหาริย์  ส่องแสงสว่างแวววาวออกจากองค์พระบรมสารีริกธาตุ  เป็นที่อัศจรรย์”

นอกจาก นั้น วัดสระเกศยังเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกับการสถาปนากรุงรัตน โกสินทร์และราชวงศ์จักรี เดิมมีชื่อว่า “วัดสะแก” เป็นวัดเก่าแก่มาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี   เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  รัชกาลที่ ๑  ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไปราชการสงครามที่กรุงกัมพูชา ทรงทราบข่าวว่ากรุงธนบุรีเกิดจลาจล จึงยกทัพกลับมาถึงบริเวณวัดสะแก ทรงเห็นว่าเป็นสถานที่ต้องตามหลักพิชัยสงคราม  จึงประกอบพิธีมูรธาภิเษกขึ้นบริเวณสระน้ำที่วัดสะแก อันเป็นที่ตั้งหอไตรในปัจจุบัน ก่อนเสด็จไปปราบจลาจลในกรุงธนบุรี ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ผ่านพิภพเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

ภายหลัง เมื่อทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว จึงทรงสถาปนา “วัดสะแก” เป็น “วัดสระเกศ”  พระอารามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติให้ต้องตามสถานที่ที่พระองค์ประกอบพิธีมูรธาภิเษก  วัดสระเกศจึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และราชวงศ์จักรี

ต่อมา  สระที่นำน้ำขึ้นมาทำน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีมูรธาภิเษกได้ถูกถมไป  เพราะถือว่าสระน้ำที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้แล้วไม่ควรที่ประชาชนทั่วไปจะใช้ อีก   ยังคงปรากฏอยู่แต่หอไตร นอกจากนั้น  ยังมีพระตำหนักรัชกาลที่ ๑ อยู่บริเวณเดียวกับหอไตร เดิมเป็นเรือนไม้  ต่อมารัชกาลที่ ๓ ได้เปลี่ยนเป็นตึกก่ออิฐถือปูนในคราวที่บูรณะวัดสระเกศทั้งพระอาราม  เพราะพระองค์เกรงว่าหากพระตำหนักยังเป็นเรือนไม้อาจจะทรุดโทรมเสียหายได้ ง่าย  ภายในพระตำหนักมีภาพจิตรกรรมฝาผนังลวดลายกระบวนจีน  อันแสดงถึงลักษณะเฉพาะของจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ ๓

งานภูเขา ทองปีนี้ สำนักงานเขตป้อมปราบฯ และการท่องเที่ยวจัดอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระราชวงศ์จักรี เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี

เช้าตรู่ ของวันที่ ๑๔  พฤศจิกายน ๒๕๕๓  พิธีห่มผ้าแดงย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างอลังการ ริ้วขบวนอัญเชิญผ้าแดงเคลื่อนออกจากมณฑลพิธี หน้าหอไตรวัดสระเกศ ทำประทักษิณเวียนขวารอบวัดผ่านไปตามถนนสายต่างๆ แล้วกลับเข้าวัดตามถนนหน้าพระตำหนัก  จากนั้นจึงอัญเชิญผ้าแดงขึ้นทำประทักษิณห่มองค์พระเจดีย์บรมบรรพต  มีประชาชนมาร่วมพิธีอย่างมากมาย

ตกเย็นมี การแสดงแสง สี เสียง “ทัศนาจินตภาพ รัศมีแห่งบารมี บรมบรรพต เจดีย์ภูเขาทอง” ที่บริเวณลานโพธิ์ ย้อนเส้นทางประวัติศาสตร์การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ และราชวงศ์จักรี  ในบริเวณซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีมูรธาภิเษกในอดีต  บอกเล่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของวัดสระเกศที่เกี่ยวกับพิธีมูรธาภิเษก อันเป็นเส้นทางการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนประวัติความเป็นมาการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากแดนพุทธภูมิสู่สยาม ประเทศ ซึ่งบรรจุอยู่บนองค์พระเจดีย์บรมบรรพต  มีการแสดงการออกร้านค้างานวัดภูเขาทองย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เหมือนจริง ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ ๕๐ ปี ขึ้นไป เห็นบรรยากาศ คงอดคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยเที่ยวงานวัดไม่ได้

ขณะเดิน ขึ้นภูเขาทองมีเสียงธรรมะตามสายของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ให้ฟังตลอดทาง ฟังแล้วรู้สึกชุ่มชื่นใจ ลืมความวุ่นวายสับสนจากโลกภายนอกไปได้ชั่วขณะ ด้านบนองค์พระเจดีย์ลมพัดเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์ได้รอบทิศ  กรุงเทพมหานครยามค่ำคืนช่างงดงาม  แสงไฟส่องสว่างเจิดจรัสทั่วพระนคร  เหมือนนครหลวงแห่งนี้ไม่เคยหลับใหล

ได้รับคำ แนะนำจากพระสงฆ์ว่า แสงสีเขียวเรืองรองบนยอดองค์พระเจดีย์นั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ยิ่งทำให้เกิดปีติ  มองไปรอบข้าง  ผู้คนต่างมีดอกไม้ธูปเทียนในมือ มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่เดินทำประทักษิณเวียนขวารอบองค์พระเจดีย์  บูชาพระบรมสารีริกธาตุ  บรรยากาศน่าศรัทธายิ่ง

เมื่อเดิน กลับลงมาด้านล้างแวะไหว้  “หลวงพ่อโต”  “หลวงพ่อดำ”   “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)”  และ “รอยพระพุทธบาท”  ซึ่งประดิษฐานอยู่บริเวณรอบบรมบรรพต  แต่พระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ทำให้สะดุดตามาก คือ พระพุทธรูปยืนสูงสง่า ยังไม่เคยเห็นที่วัดไหน ในกรุงเทพมหานคร ได้รับคำแนะนำจากพระสงฆ์ว่า พระพุทธรูปองค์นี้ คือ “พระอัฏฐารส” พระพุทธรูปประทับยืนปางห้ามญาติ ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น มีความสูงถึง ๑๐.๗๕ เมตร อายุเก่ากว่า  ๗๐๐ ปี รัชกาลที่ ๓ อัญเชิญมาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก ทางวัดเปิดพระวิหารให้ประชาชนได้กราบไหว้เป็นกรณีพิเศษ  นอกจากนั้น ยังมีการละเล่นต่างๆ ให้ชมมากมาย  มีอาหารให้ชิมหลากหลาย เรียกว่า เที่ยวงานภูเขาทอง อิ่มทั้งบุญอิ่มทั้งท้อง

พระธรรม สิทธินายก (ธงชัย สุขญาโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ กล่าวว่า “พระเจดีย์บรมบรรพต ภูเขาทอง ได้จำลองแบบมาจากพระเจดีย์วัดภูเขาทอง ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  มีความสูงประมาณ ๑๐๐ เมตร ความกว้างโดยรอบเส้นศูนย์กลางประมาณ ๕๐๐ เมตร  สร้างโดยพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีถึง ๓ พระองค์ด้วยกัน คือ    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  โดยใช้เวลาในการก่อสร้างเป็นเวลากว่า ๕ ทศวรรษ  ครั้นสร้างแล้วเสร็จ รัชกาลที่ ๕ ก็ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอินเดีย ที่ขุดได้จากกรุงกบิลพัสดุ์ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บรรจุประดิษฐานไว้บนองค์บรมบรรพต ภูเขาทอง และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากที่เหตุการณ์มีความสอดคล้องกันเช่นนี้

งานเทศกาล นมัสการพระบรมสารีริกธาตุ  จะเริ่มด้วยการห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์ก่อนวันงาน ๓ วัน เพื่อเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุเริ่มขึ้นแล้ว เป็นพิธีที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕  ชาวพระนครให้ความสำคัญมาก  เพราะเชื่อว่าเป็นพิธีทำให้เกิดสิริมงคล อานุภาพแห่งการบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิต  แคล้วคลาดปลอดภัย เป็นความเชื่อที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

ปรากฏความ ว่า หลังพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ๓ พรรษา เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายแก่ชาวเมืองเวสาลี ผู้คนประสบภัยพิบัตินานาประการ ทั้งข้าวยากหมากแพง ฝนแล้ง ภูตผีปีศาจทำอันตราย บ้านเมืองกระด้างกระเดื่อง เกิดโจรผู้ร้ายเข่นฆ่าชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่สมณพราหมณ์ผู้ทรงศีล ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เมื่อพระพุทธองค์เสด็จสู่เมืองเวสาลี  ความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวายก็พลันหายไปสิ้น  เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ประชาชนโดยทั่วไป  เมื่อโรคภัยไข้เจ็บหายก็ทำให้ประชาชนมาแวดล้อมพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ตรัสว่า สิ่งที่เกิดเช่นนี้มิใช่เรื่องน่าอัศจรรย์  แต่เป็นเพราะอานุภาพแห่งบุญบารมีที่พระองค์เคยเอาผ้าประดับบูชาเจดีย์ใน อดีตชาติ ”

1 comment

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น