เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่มา น้องบารมี ได้ไปทำบุญที่จังหวัดนครปฐม ไปกราบนมัสการหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม เลยเก็บภาพและประวัติความเป็นมาของวัดนี้มาฝากกันจ๊ะ

หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม หลวงพ่อพูล ชื่อนี้ประจักษ์ในฐานะพระเกจิอาจารย์อันดับแนวหน้าของประเทศไทยและนับเป็นสุดยอดพระผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเมตตาบารมี เป็นเนื้อนาบุญอันไพศาล….. ที่ผ่านมาชีวิตของท่านอุทิศแล้วในพระพุทธศาสนา…..ด้วยแรงกายแรงใจช่วยเหลือผู้ยากไร้มิเคยขาด ที่สำคัญท่านพ้นวังวนของกิเลสและตัณหา มุ่งแผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองทุกคนด้วยความเท่าเทียม ทุกคนจึงได้รับจากการปฏิบัติจาก หลวงพ่อพูล อย่างดีมาโดยตลอด

หลวงพ่อพูล เป็นพระที่มีเคร่งครัดพระธรรมวินัย ด้วยความสมถะท่านจะนิ่ง พูดน้อย จนได้รับสมญา “ของจริงต้องนิ่งใบ้” หลวงพ่อพูล ท่านเกิดในสกุล “ปิ่นทอง” เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 พ.ย. 2455 ปีชวด (ร.ศ.131) เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน บิดาชื่อ “นายจู ปิ่นทอง”มารดาชื่อ “นางสำเนียง ปิ่นทอง” ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม นครปฐม จบการศึกษาประถม 4 ที่โรงเรียนวัเห้วยจระเข้ นครปฐม ปีพ.ศ. 2471 จากนั้นจึงได้ฝึกอ่านเขียนอักษรขอมและแพทย์แผนโบราณจาก “ปู่แย้ม ปิ่นทอง” ผู้นี้มีศักดิ์เป็นปู่แท้ๆ และได้รับการถ่ายทอดวิชา คาถาอาคม จาก หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงปู่กลั่น วัดพระประโทนเจดีย์ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม

วัยหนุ่มหลวงพ่อพูล นั้น ชอบวิชาการต่อสู้ของลูกผู้ชาย จึงฝึกและศึกษาวิชามวยไทย และที่สำคัญท่านเคยเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง จนมีอายุครบวัยเกณฑ์ทหาร หลวงพ่อพูล ได้ทำหน้าที่พลเมืองดีของชาติ ด้วยการไปทำการคัดเลือกทหาร สังกัดทหารม้า เป็นทหารรักษาพระองค์ กองบัญชาการ เดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพฯ ซึ่งตรงกับช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โดย หลวงพ่อพูล ได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท

เรื่องการเป็นทหารรับใช้ชาตินี้นับเป็นความภาคภูมิใจของท่านเป็นอย่างมาก หลังจากปลดจากประจำการแล้ว ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2480 ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมี พระครูอุตตการบดี (หลวงปู่สุข ปทฺวณฺโณ) เจ้าคณะ อ.เมือง เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังบวชแล้ว ได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อ พ.ศ.2482 ในระหว่างนี้เองหลวงพ่อพูลท่านได้ให้ความสนใจศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสอนควบคู่กับการศึกษาวิชาอาคม ซึ่งได้รับมอบมาจาก ปู่แย้ม ปิ่นทอง และด้วยพื้นฐานความรู้ที่มีอยู่แล้ว

จึงทำให้ท่านศึกษาถ่ายทอดมหาพุทธาคมได้อย่างรวดเร็ว และที่วัดพระงามนี้ ทำให้ท่านได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม ในกระบวนพระเกจิอาจารย์ที่เป็นบูรพาจารย์ของ หลวงพ่อพูล ซึ่งท่านเคารพนับถือมากรูปหนึ่งคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้รับคำแนะนำสั่งสอนเรื่องการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล วิชาอาคมต่างๆ หลวงพ่อเงินเมตตาถ่ายทอดอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งเมื่อได้รับคำแนะนำจนเป็นที่มั่นใจแล้ว ท่านจึงออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรฝึกฝนสมาธิจิต และในปี พ.ศ. 2490 วัดไผ่ล้อมเกิดขาดเจ้าอาวาสปกครองวัด เนื่องจากว่าเจ้าอาวาสแต่ละรูปอยู่ปกครองวัดได้ไม่นานต้องลาสิกขาไป

หลวงพ่อพูล ย้ายมาจำพรรษาประจำอยู่วัดไผ่ล้อม พร้อมกับได้ทำการก่อสร้าง และพัฒนาวัดเรื่อยมา ตลอดเวลาท่านพยายามมุมานะในการศึกษาด้านการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาต่างๆ ที่สามารถที่จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้เดือดร้อนได้โดยตลอดเวลา ปัจจุบันหลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข แห่งวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม อายุ 94 ปี แม้ท่านจะมีอายุที่มากแล้ว แต่ภารกิจของท่านก็ยังคงต้องมีเรื่องให้ท่านปฏิบัติไม่ว่างเว้นท่านสร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่คนหมู่มาก จากปากต่อปากทำให้มีผู้ที่มาสักการะขอพรจากท่านเป็นจำนวนมากทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จตุปัจจัยไทยทานที่สาธุชนได้บริจาคมานั้น ท่านไม่เคยสะสม มีเท่าไหร่ ท่านก็นำไปบริจาคสร้างถาวรวัตถุ สร้างความเจริญไว้แก่วัดไผ่ล้อมจนเกิดความเจริญรุ่งเรืองแลดูสวยงามสบายตา เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา 94ปีของ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณ พระมงคลสิทธิการ หรือ หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข ได้ล่วงเลยไปตามวัยของสังขารในฐานะสมภารเจ้าวัดกลับรังสรรค์ผลงานให้กับคณะสงฆ์ได้ดีไม่มีบกพร่อง ทั้งงานด้านปกครองคณะสงฆ์ ด้านสาธารณูปการ ด้านสาธารณสงเคราะห์ โดยเฉพาะด้านศึกษาสงเคราะห์ และเผยแพร่พระธรรมวินัยได้ครบถ้วน สมเป็นพระอาจารย์ที่มีคณะศิษย์ศรัทธาเลื่อมใสทั่วประเทศ

วันที่ 28 ธันวาคม 2547 หลวงพ่อป่วยลง คณะศิษย์ใกล้ชิดได้นำท่านเข้าตรวจเช็คร่างกาย ณ โรงพยาบาลนครปฐม ท่านควรรักษาตัวทีตึกสงฆ์ จนวันที่ 31 ธันวาคม ได้มีงานฉลองสมณศักดิ์พัดยศถวายวัดไผ่ล้อม ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อพูลอาการไม่ดีขึ้นและหมอลงความเห็นว่า หลวงพ่อพูลมีอาการลิ้นหัวใจรั่วและน้ำท่วมปอด ต่อมา 31 มกราคม พ.ศ. 2548 ได้ย้ายหลวงพ่อพูลไปรักษาตัว ที่โรงพยาบาลสมิติเวส กรุงเทพ ทำการรักษาตัว หลวงพ่อและปาฏิหาริย์มีจริง กว่า 4 เดือนที่หลวงพ่อ รักษาตัว เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม อาการหลวงพ่อดีขึ้น จนแพทย์แปลกใจจึงอนุญาตให้กลับวัดได้ ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม หลวงได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก พระขุนแผน-กุมารทองแม้ท่านจะนอนอยู่บนเตียง ที่ทางวัดเตรียมให้ ต่อมา 21 พฤษภาคม อาการ หลวงพ่อพูล ทรุดลงอีกครั้ง แต่ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

อาการหลวงพ่อพูลดีขึ้น อากาศยามเช้าวันอาทิตย์ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 สดใสไร้เมฆฝน กระทั่งเวลา 14.55 น. เสียงเครื่องวัดชีพจรสงบลง ศิษย์ทุกคนตื่นขึ้นหลวงพ่อพูลได้ละสังขารจากพวกเขาไปแล้ว อย่างสงบทิ้งเพียงเสียงธรรมสั่งสอน และคุณงามความดี ที่สั่งสมมาตลอด 93 ปี

ปัจจุบันนี้ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ได้มีการลงนะหน้าทอง จากตำรา 

“จันทร์มหาเสน่ห์”สืบสานตำนานโบราณสุดยอดวิชามหามงคลจากหลวงพ่อพูลและหลวงปู่วาส เพื่อเสริมพลังเสริมเมตตาบารมีให้แก่ศิษย์ยานุศิษย์ทั่วทุกสารทิศ

การลงนะหน้าทอง เป็นศาสตร์วิชาโบราณที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า หรือบรรดาข้าราชการ ต่างอยากจะมาลงนะไว้หนักหนา เพราะมีความเชื่อว่า การลงนะหน้าทองจะทำให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง อยู่ใกล้ใครได้พบได้เห็นเป็นที่รักใคร่ ผู้ใหญ่จะให้ความเมตตาเป็นมหานิยม ซึ่งในปัจจุบันการลงนะหน้าทองหาได้ยากนักที่จะมีผู้ทำให้ด้วยวิชาโบราณจะสืบสานมาสู่ทายาทอย่างแท้จริง

“นะจันทร์มหาเสน่ห์” เป็นวิชาที่สืบทอดมาจากตำรับโบราณของหลวงพ่อพูล อัตตรักโข อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมและหลวงปู่วาส ซึ่งจะทำการลงนะหน้าทองเพียงแค่วันจันทร์ วันเดียวเรียกว่า “นะจันทร์มหาเสน่ห์” ซึ่งหลวงพ่อพูล อัตตรักโข ท่านได้ดำริสอนไว้เสมอว่า ในทุกวันจันทร์ ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของชีวิตมนุษย์ เป็นวันที่มีฤกษ์ที่ดีงาม จะทำอะไรก็แล้วแต่จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองและถือเป็นการเริ่มในการกระทำความดีเพื่อความเจริญรุ่งเรืองเป็นการอธิษฐานขอพรสร้างขวัญและกำลังใจ ในการมุ่งมั่นทำความดีเพื่อธุรกิจการงานก้าวหน้าพัฒนาไปไกล

หลวงพี่น้ำฝน กล่าวว่า ตนใช้น้ำมันจันทน์ที่มีกลิ่นหอมและเป็นน้ำมันเสกเก่าแก่ของหลวงพ่อพูล กำหนดลงสามจุดคือ มือซ้ายใช้ทอง 1 แผ่น มือขวาใช้ทอง 1 แผ่น ส่วนตรงหน้าผากใช้ทอง 3 แผ่นลงซ้าย ขวา และบน ลักษณะเป็นสามเหลี่ยม รวมทั้งหมด 5 แผ่น ระหว่างที่ลงนะหน้าทอง จะต้องสวดคาถาพุทธบูชาทุกครั้งและทุกคน รวมทั้งทำการจารอักขระลงบนหน้าผากและฝ่ามือทั้งสองข้าง

“ ถือเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยที่ญาติโยมจะเริ่มต้นทำสิ่งใดในวันนี้ ก็จะมีแต่ความร่ำรวยตลอดปีดีตลอดไป เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ก็มีแต่คนรักคนเมตตา ให้ความสนับสนุนช่วยเหลือเจือจานตลอดเวลา พุทธศาสนิกชนทุกคนที่เดินทางมาลงนะหน้าทองตำรับหลวงพ่อพูลที่วัดไผ่ล้อม โดยการลงนะหน้าทองพิธีนี้ จะลงที่หน้าผาก ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของใบหน้าคน เป็นด่านแรกของชีวิต เป็นจุดสำคัญของร่างกาย ที่ใครก็มองเห็นเป็นอันดับแรก ที่จะได้พบปะผู้คน และเป็นจุดที่สูงสุดของร่างกาย และการที่ลงที่มือทั้งสองข้างนั้นถือเป็นจุดสำคัญของร่างกายในการทำมาหากิน ในการประกอบอาชีพ มือทั้งสองข้างถือเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมทั้งบริกรรมลงคาถาอาคม เพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิต ค้าขายดีมีกำไร เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานสืบต่อไป”

แต่วันที่เดินทางไปคนเยอะมากมาย คิวที่จะได้ลง นะ กับ หลวงพี่น้ำฝน 300 กว่า ทำให้น้องบารมีต้องขอกราบลาก่อนถึงคิว เพราะว่าต้องเดินทางไป กราบนมัสการ หลวงพ่อวัดอื่นต่อ แอบเสียดายอยู่มากเหมือนกัน แต่กลัวบรรดา พี่ๆ ที่ไปด้วยจะรอนานเกินไป เอาไว้โอกาสหน้าน้องบารมีจะไปลง ถ้ายังไงจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งนะจ๊ะ  วันนี้ขอลาไปก่อน ^_^

 

ข้อมูลจาก itti-patihan.com , 76.nationchannel.com

เรียบเรียง และ ภาพถ่าย โดย น้องบารมี

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น