การให้ร้ายผู้อื่นนั้นหากมาจากตนเองคือการแสดงออกซึ่งความริษยาอย่างหนึ่ง  หากพิจารณาให้ลึกซึ้งจะเกี่ยวข้องกับความสูญเสียที่เรามี  ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอำนาจ  หากคิดว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจนั่นหมายความว่าตนเองคิดว่าตนเองมีอำนาจอยู่  แล้วอำนาจนั้นไม่ว่าจะเป็นอำนาจจริงหรือำนาจแฝงก็ตาม  แล้วลักษณะการใช้อำนาจนั้นจะใช้ในลักษณะที่เป็นพระเดชอย่างที่ผู้เขียนได้อธิบายมาแล้ว  การใช้อำนาจโดยความเป็นพระเดชจึงเป็นการใช้ไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตนเสียเป็นส่วนใหญ่  การที่จะหยุดการให้ร้ายผู้อื่นนั้น  ต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือสาเหตุทำให้เกิดการให้ร้ายผู้อื่นเสียก่อน

อำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนเป็นเหตุแห่งความริษยา  ความริษยาเป็นเหตุทำให้เกิดการให้ร้ายผู้อื่นขึ้น  การให้ร้ายผู้อื่นคือการทำลายู่แข่งไปในตัว  หรือการให้ร้ายผู้อื่นเกิดจากการที่เราไม่ยอมรับความจริงก็ได้  สมัยเด็กผู้เขียนได้ทำบางอย่างที่ไม่ดีขึ้น  แล้วคุณย่าชอบนำเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาเล่าให้ผู้เขียนฟังอยู่เสมอ ๆ  แล้วผู้เขียนนิสัยเสียคือเป็นคนช่างฟ้อง  แล้วผู้เขียนก็ได้นำเรื่องที่คุณย่าเล่าให้ฟังไปเล่าต่อให้ญาติที่เกี่ยวข้องฟัง  พอคุณย่าทราบเรื่องก็หาว่าผู้เขียนกุเรื่องนั้นขึ้นมา  ความคิดแวบ ณ.  ขณะนั้นคืออยากจะเอาเทปอัดเสียงแล้วเอาไปเปิดให้ฟังให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปด้วยความแค้น  เรื่องนี้เกิดมาประมาณ 20 ปีแล้วก่อนที่ผู้เขียนจะลงมือปฏิบัติธรรม  แต่ด้วยความที่ผู้เขียนไม่นึกว่าคุณย่าจะกลายเป็นคนที่เอาตัวรอดนั่นอย่างหนึ่ง  แล้วอีกกรณีหนึ่งผู้เขียนก็มีส่วนผิดหรือไม่ผิดก็ไม่รู้แหล่ะ  แต่ทำสิ่งนั้นไปด้วยความหวังดี  นี่ก็เป็นการให้ร้ายอย่างหนึ่ง  ฉะนั้นการให้ร้ายผู้อื่นนั้นมาจากการพยายามเอาตัวรอดของตนด้วย

แต่การให้ร้ายผู้อื่นด้วยความเอาตนเองให้รอด  ยังไม่ร้ายแรงเท่าการให้ร้ายผู้อื่นด้วยแรงริษยาแล้วอาฆาต  เพราะการเอาตัวรอดเป็นการกระทำเพียงครั้งเดียว  จากในกรณีที่เล่าเรื่องคุณย่านั้น  เพราะผลที่เกิดขึ้นแล้วและจำฝังใจผู้เขียนอยู่นาน  กว่าจะเลิกแค้นก็ตอนที่มาปฏิบัติธรรมแล้วนี่แหล่ะ  นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนได้รับ  แล้วหากผู้เขียนไม่ลงมือปฏิบัติธรรมจะเป็นเหตุแห่งการผูกพยาบาทสร้างเวรต่อกันไปอีกในอนาคตข้างหน้า  ที่สำคัญจะเป็นอนาคตชาติซึ่งสะท้อนให้เห็นผลของการให้ร้ายผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ  หากพูดแล้วยอมรับความจริงกันไปก็จบ  คุณย่าเองก็มีส่วนที่ไม่ถูกเพราะดันเอาความลับมาเล่าให้ผู้เขียนฟัง  หากไม่เล่าเสียอย่างผู้เขียนก็จะไม่รู้  หากคิดแบบปุถุชนผู้เขียนก็ผิดเพราะดันไปเล่าต่อให้ญาติผู้เกี่ยวข้อง  แต่ถ้าคิดถึงการปฏิบัติธรรมก็ถูกแล้ว  เพราะหากนั่นเป็นความจริงก็ต้องเผชิญกันไป

หากเราไม่เป็นคนขี้ขลาดเสียอย่างการให้ร้ายผู้อื่นด้วยความเอาตัวรอดก็จะไม่เกิดขึ้น  ส่วนการให้ร้ายผู้อื่นด้วยความริษยา  ให้ลดละความอยากลง  แล้วหนีไม่พ้นคือการทำเพื่อผู้อื่นให้มากขึ้นแล้วทำเพื่อตนเองให้น้อยลง  ด้วยความตั้งใจจะทำให้ได้หรือพยายามให้มีเจตนาในการทำสิ่งนั้นให้ได้  เมื่อเราลดความริษยาลงไปความมุทิตาก็จะมีมากขึ้นตามความริษยาซึ่งจะลดน้อยถอยลง  ส่วนผู้ริษยาคนอื่นแล้วให้ร้ายผู้ที่เราริษยาให้กระจายด้วยการประจานสิ่งที่ไม่เป็นความจริงให้สังคมรับรู้  ผู้นั้นเองก็จะโดนความจริงย้อนกลับมาทำร้ายตนเองมากขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ  แล้วตนเองต้องได้รับแรงกระแทกนั้นให้ได้รับความเจ็บปวดใจและอาจจะรวมทั้งกายด้วย  แล้วจุดจบของตนเองก็จะมาถึงนั่นเอง

เมื่อรู้ผลที่จะเกิดขึ้นจากการให้ร้ายผู้อื่นแล้ว  ก็อย่าไปทำเหตุให้เกิดขึ้น  เหตุแห่งความเสี่ยงทั้งสองหากยังมีอยู่ใมนตน  ไม่ว่าการจะเอาตนเองให้รอดจากความผิดที่ตนได้ทำขึ้น  หรือความริษยาผู้อื่นไม่อยากให้คนอื่นได้ดีกว่าตน  เหตุเกิดที่ไหนดับที่นั้น  เพราะหากไม่ดับเหตุผลที่เกิดตามมาอาจจะร้ายแรง  เช่นถ้าผู้เขียนไม่รู้จักการปฏิบัติธรรม  อาจจะทำให้ผู้เขียนไม่อาจหลุดพ้นจากความพยาบาทคุณย่าได้  แล้วผู้เขียนเองก็เป็นคนที่มีความพยาบาทที่รุนแรงมาก  ทำให้ผู้เขียนรู้แจ้งถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับตนและคุณย่า  เพราะนั่นหมายความว่าผู้เขียนยังคิดที่จะทำร้ายคุณย่าอยู่ตลอดเวลา  ถึงแม้จะไม่ได้ทำร้ายคุณย่าจริงก็ตาม  แต่นั่นก็ทำให้ผู้เขียนทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย

ขอบคุณข้อมูลจาก www.dhumma.net

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น