เมื่อพระธรรมทูตอินเดีย..ไปแก้มนต์ดำที่ปราสาทบายน

กลับประเทศไทยคราวนี้…หลังจากที่แตะแผ่นดินแดนสยามได้ไม่กี่วันก็ต้องรีบเดินทางไปยังนครวัด นครธม…จุดหมายปลายทางที่ถูกเรียกร้องจากเบื้องลึกของหัวใจ ว่าต้องรีบไปให้ได้โดยเร็ว เพราะตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทุกครั้งที่เจริญภาวนา หลังจากการนั่งสวดมนต์อยู่ที่อินเดีย จิตกลับถูกส่งมายังใจกลางปราสาทบายน แห่งนครธม ประเทศเขมร เหมือนประหนึ่งว่ามีเสียงเรียกร้องให้ไปหาสถานที่แห่งนี้อยู่โดยตลอด เวลา…ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่าจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งนี้เลย…ความรู้สึก เช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ได้ครั้งหนึ่งได้นำคณะชาวไทยประกอบพิธี ณ สถานที่บ่ออันเป็นที่ทิ้งคดี ที่พระวิหารเชตวันแห่งนครสาวัตถี คณะได้ร่วมอฐิษฐานจิตเรื่องคดีของเขาพระวิหารเป็นพิเศษด้วย

เมื่อกลับถึงเมืองไทยก็รีบชวนพระเพื่อนอีกรูปหนึ่งเดินทางสู่ด่านชายแดนเขมร ณ อรัญญประเทศ ผ่านด่านที่ปอยเปต..เช่ารถแทกซี่มุ่งสู่เมืองเสียมเรียบพร้มอค้างหนึ่งคืน ถึงเมืองเสียมเรียบประมาณหกโมงเย็น…หาที่พักแล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็นัดแทก ซี่ที่เช่าไว้ให้มารับแต่เจ็ดโมงเช้า..ตรงไปยังปราสาทบายนในทันที

ปราสาทบายนแห่งนี้สร้างเมื่อค.ศ. ๑๒๐๐ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เป็นรูปลักษณะคนยิ้มหันหน้าไปในทิศทั้งสี่ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหน้าของพระ อวโลกิเตศวร หรือพรหมสี่หน้า หรือ พรหมวิหารธรรมสี่ประการคือเมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา

เมื่อเดินทางเข้าไปถึงด้านหน้าได้กราบพระพุทธรูปตรงทางเข้าและอฐิษฐานบอก เจ้าที่เจ้าทาง พอขึ้นไปถึงภายในใจกลางของปราสาท..ได้พบพระพุทธรูปโบราณประดิษฐานอยู่ด้านใน และมีเด็กหญิงชาวกัมพูชาหนึ่งคนทำหน้าที่นั่งดูแลสถานที่รอแจกจ่ายธูปบริการ ให้แก่ผู้ที่มาสักการะ..อาตมาก็ส่งภาษาเขมรบอกว่าต้องการมาสวดมนต์ เจริญภาวนา ณ สถานที่แห่งนี้ให้ช่วยดูแลความสงบหากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องอนุญาตให้คนเข้ามา ด้านใน..ซึ่งเด็กหญิงชาวเขมรก็ตอบรับด้วยดี..เพราะเธอคงนึกว่าอาตมาเป็นพระ เขมร

สิ่งที่เป็นความขลังสูงสุดในพระพุทธศาสนา ที่จักสามารถขจัดปัดเป่าสิ่งอันเป็นอัปมงคลทั้งหลาย รวมทั้งมนต์ดำของจิตผู้ประสงค์ร้ายต่าง ๆ ที่ทางเขมรผู้มีอวิชชาอาคมทำไว้กับประเทศไทย อาตมาคิดว่า ไม่มีสิ่งใดที่จักเกินไปกว่าพุทธคุณ..แน่นอน เพราะพุทธคุณที่สาธยายนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่พระคุณของพระพุทธเจ้าเพียง พระองค์เดียว..แต่เป็นพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทั้งในอดีตและในอนาคต นับไม่ถ้วน จำนวนมากมายมหาศาล จึงย่อมมีพลังยิ่งเหนือสรรพสิ่งโดยไม่ต้องสงสัย จึงได้น้อมจิตอฐิษฐานอัญเชิญพระพุทธคุณบท อิติปิโส…มาสาธยาย โดยตั้งใจสาธยายได้ครบ ๑๐๘ จบ..และก็สาธยาย โดยนำลูกปะคำที่ใช้นับสวดในพุทธภูมิมานับสาธยายด้วย..ขณะที่สวดอยู่นั้น รู้สึกเหมือนว่าบริเวณโดยรอบปราสาทเต็มไปด้วยสรรพวิญญาณทั้งหลาย เป็นอันมากจนแทบจะไม่มีช่องว่างเว้นแห่งอากาศเหลืออยู่เกิดความอึดอัดเข้ามา ในทันที เมื่อสวดจบครบ ๑๐๘ จบแล้วได้นั่งเจริญภาวนา..แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ สรรพวิญญาณทั้งหลาย และจากนั้นอากาศก็เริ่มปลอดโปร่ง หายใจได้คล่องขึ้น ประหนึ่งว่า..สรรพวิญญาณทั้งหลายได้มารอรับส่วนแห่งบุญ..และได้อนุโมทนาบุญ รับทราบถึงแรงอฐิษฐานพากันกลับออกไปหมดแล้ว

สิ่งที่ได้ตั้งจิตอฐิษฐานมีดังนี้

๑. ขอให้ประเทศไทยและประเทศเขมรจงอย่าได้ทะเลาะมีปัญหากันอีกต่อไป ให้วิญญาณของบรรพบุรุษทั้งสองประเทศทำความตกลงปรองดองกันก่อนที่คนไทยและ เขมรจะมีปัญหาทะเลาะกันอีก

๒. หากมีปัญหาเรื่องคดีความกันระหว่างกัน..ให้พุทธานุภาพนี้นำชัยชนะมาสู่ ประเทศไทยแผ่นดินส่วนใด ๆ อันเคยเป็นของคนไทยขอให้แผ่นดินนั้น ๆ จงกลับเป็นของไทยดังเช่นเดิม

หลังจากที่เดินผ่านประตูสุดท้ายของปราสาทออกมาได้หันมองย้อนไป ใจก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่า..นับจากวันนี้ไป เขมรผู้ก้าวร้าวจะไม่กล้ามาตอแยกับประเทศไทยอีกต่อไปแล้ว เป็นความรู้สึกมั่นใจจากภายในจริง ๆ ย้งไงก็ไม่ทราบ ฯ

ขอจำเริญพร
ท่านคมสรณ์/กรุงเทพ ฯ

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก  www.oknation.net/blog/mylifeandwork/2010/06/21/entry-1

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น