บทอธิษฐานขออโหสิกรรม

การสวดมนต์เจริญภาวนา สามารถแก้ไขปัญหาชีวิต ขจัดโรค แก้ไขเคราะห์กรรม ตัดเวรตัดกรรมได้อย่างถูกวิธี หลังสวดมนต์เจริญภาวนาแล้ว แอดมินอยากให้เพื่อนๆ สวดบทอธิษฐานขออโหสิกรรมกับสัตว์โลกทั้งหลายด้วยนะคะ ในบทความนี้แอดมินได้นำบทอธิษฐานขออโหสิกรรม พร้อมทั้งความหมายของการอโหสิกรรมและวิธีการขออโหสิกรรมมาให้ศึกษาและทำความเข้าใจกันค่ะ ..

กายะกัมมัง วะจีกัมมัง มะโนกัมมัง สัญจิจจะกัมมัง
อะสัญจิจะกัมมัง ขะมันตุ เม อะโหสิกัมมัง ภะวะตุ เม.
กรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ทำล่วงเกินแก่ผู้ใด ทั้งโดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ในภพชาติใดก็ตาม ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโปรดยกโทษให้เป็นอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้า อย่าได้จองเวรจองกรรมต่อกันอีกเลย
แม้แต่กรรมใดที่ใครๆ ทำแก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้ทั้งสิ้น ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน ขอจงดลใจให้เขาเหล่านั้นกลับมีเมตตาจิต คิดเป็นมิตรกับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันตลอดไป
ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ ขอให้ข้าพเจ้าพร้อมทั้ง ครอบครัว ตลอดจนวงศาคณาญาติ ผู้มีอุปการคุณของข้าพเจ้า พ้นจากความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจความทุกข์อย่าได้ใกล้ ความเจ็บไข้อย่าได้มี ขอได้มีความสุขสวัสดีมีชัย เสนียดจัญไรและอุปัทวันตรายทั้งหลาย จงเสื่อมสิ้นหายไป นึกคิดปรารถนาสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมแล้ว ขอให้สิ่งนั้นจงพลันสำเร็จ ลงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จเทอญ
นิพพานะปัจจะโย โหตุ

 

 

การขออโหสิกรรมคืออะไร มีความหมายอย่างไร?

อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก
ได้แก่ กรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ที่เลิกให้ผล เหมือนพืชที่หมดยาง เพาะปลูกไม่ขึ้นอีก

มีวิธีการขออโหสิกรรมอย่างไร?

๑) ด้วยการอโหสิร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างเอ่ยให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วยใจ
ยิ่งหนักแน่น สะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่ก็ยิ่งขาดจากเวรได้เด็ดขาดเท่านั้น
และจิตคิดอโหสิอย่างบริสุทธิ์ได้มักไม่ใช่จู่ๆเดินเข้ามาออกปากอภัยกันดื้อๆ
ส่วนใหญ่ต้องร่วมสถานการณ์เลวร้ายกันมาระยะหนึ่ง
แล้วมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสำนึกได้ จึงชักชวนกันทำดีแก่กัน เช่นพูดจาญาติดีกัน
มีใจเห็นภัยของพยาบาทร่วมกัน แล้วจึงปลงใจคิดอโหสิแก่กัน
ต่อมาไม่มีเวรทางกาย วาจา ใจร่วมกันอีกตลอดชีวิต
(ซึ่งถ้าทำได้หมายความว่ากำลังของเวรจากอดีตชาติแพ้กำลังอโหสิในปัจจุบันชาติ)
อย่างนี้ถ้าเจอกันใหม่ ก็คงเจอด้วยความรู้สึกด้านดี

๒) ด้วยการอาศัยสัจจวาจาในการทำบุญร่วมกัน
คือเมื่อทำบุญใหญ่ร่วมกันแล้วอ้างบุญใหญ่ที่ทำร่วมกันนั้น
ว่าทำด้วยใจมีไมตรีต่อกัน ขอให้อานิสงส์จงช่วยล้างเวรภัยระหว่างกัน
หากกำลังบุญนั้นถึงพร้อม (เช่นถวายสังฆทานกับพระอริยสงฆ์)
ก็จะทำให้เกิดความอบอุ่น เบิกบานใจร่วมกัน
ถ้าชนะแรงอาฆาตเก่าๆได้ก็จะรู้สึกกันเดี๋ยวนั้นว่าหมดภัยหมดเวรต่อกันแล้ว

ความสำคัญของความสมัครใจ / ความจริงใจที่จะอโหสิกรรมให้กันนั้น
อยู่ที่ความคิดขออภัย ให้อภัย ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน
โดยมากเท่าที่เห็นทั่วๆไปนั้น ยังขออโหสิแบบมีมานะ หรือเจือด้วยโทสะ
บางคนเจตนาขออภัย/ขออโหสิจริงๆในวันหนึ่ง
แต่วันหลังเกิดคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมาอีกแบบอดไม่ได้ตามประสาปุถุชน
อย่างนี้อโหสิกรรมนั้นก็ให้ผลไม่เต็มที่

จะต้องขออโหสิกรรมจากใครบ้าง?

ได้จากทุกคนค่ะ ทั้งพ่อแม่น้อง หรือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้า เพราะเราก็ไม่อาจจะทราบว่าเราได้เคยทำกรรมไว้กับใครหรือไม่

ถ้าขออโหสิกรรมแล้วเค้าไม่อโหสิให้จะทำอย่างไร?

“ถ้าเราเป็นฝ่ายยกโทษให้หมดอย่างไม่มีเงื่อนไข
หากเขายังมีจิตพยาบาท คิดอาฆาตต่อ
ก็จะเหมือนกับเขาจองเวรกับความว่างเปล่า
เพราะขั้วที่จะทำให้วงจรจองเวรขาดไป

ยกตัวอย่างจากชาดก มีชาติหนึ่งที่พระโพธิสัตว์ถูกพระเทวทัตในอดีตจับไปขึงพืด
พาพรรคพวกข่มขืนภรรยาต่อหน้า
แล้วตัดแขนตัดขาท่านทีละชิ้น
ท่านไม่มีใจคิดร้ายตอบเลย
แผ่เมตตาให้พวกคนร้ายกระทั่งขาดใจ
จิตมีกำลังเมตตาถึงฌาน ก็ไปเกิดเป็นพรหม
เรียกว่าใช้คู่เวรเป็นบันไดสวรรค์ของตนได้

แต่ต่อมาพระเทวทัตก็ยังจองเวรไม่เลิก
ตรงนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครช่วยได้ครับ
แม้เริ่มจองเวรกัน พระเทวทัตก็เป็นฝ่ายเริ่มฝ่ายเดียวเท่านั้นด้วย
ท่านถึงว่าอยู่ในสังสารวัฏแล้วจะหลีกเลี่ยงสิ่งไม่น่าพึงใจนั้น ไม่มีทางเลย”

ถ้าเราอโหสิกรรมให้เขา โดยที่เขาไม่ทราบ จะสามารถหยุดการผูกเวรต่อกันได้ไหม

“ไม่ได้หรอกครับ และอย่าว่าแต่เงื่อนไขที่คุณกล่าวเลย ต่อให้เขาทราบ แต่ถ้าใจไม่ยินดีไปกับคุณ เวรก็ไม่อาจระงับอยู่ดี

แต่แง่ดีของการอโหสิให้เขานั้นมีแน่ครับ นั่นคือใจคุณเองจะต่างไป ไม่ผูกพันอยู่กับเขาเพื่อความสูญเปล่าอีก ภูมิที่เหมาะกับผู้ให้อภัยคือภูมิของสัตบุรุษ ส่วนภูมิที่เหมาะกับผู้ไม่สำนึกผิดคือภูมิของอสัตบุรุษ ฉะนั้นโอกาสที่สัตบุรุษกับอสัตบุรุษจะโคจรมาพบกันก็ยากขึ้น โอกาสได้รับความเดือดร้อนจากเขาก็น้อยลง

เวรนั้น แม้ไม่สิ้นก็ทำให้เบาบางลงได้ครับ คุณอภัยเขาอย่างไร้เงื่อนไขได้ชาติหนึ่ง ชาติต่อๆไปก็จะทำได้อีก และมีแนวโน้มที่จะง่ายขึ้นเรื่อยๆ และห่างชั้นจากเขาไปเรื่อยๆด้วย”

 

ที่มา บ้าน.ธรรม.บุญ www.bantamboon.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น