บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ “ผู้สวด” ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดี ๆ อย่างนั้น อย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่าง ๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน

ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริงว่า การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่าง ๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่าง ๆ นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “บทสวดมนต์” แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย

องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน

1. กรรม

2.ตัวเราเอง

3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่าง ๆ ช่วย

1.กรรม มีอัตราส่วน 50 %

ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้วไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรมดีที่เราทำนั้นเป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่าง ๆ

2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 %

ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดีเพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดี ๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้

3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 %

ผู้ช่วยในที่นี้รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่มีจิตดีจิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้เป็น “อุปกรณ์” เสริมที่มีความจำเป็นเพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการนี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัด ๆ

สมมติว่า…..ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ “ผ่าน” ลองคิดดูง่าย ๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุดก็คือส่วนที่เป็น “กรรม” เรามีอัตราส่วนถึง 50 %

ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง “นึก” ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง “ร้องขอ” จากสิ่งใด ๆ อีกก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั่นก็แสดงว่าบุคคลนั้นได้กระทำ “กรรม” ที่ดี ๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต

แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี “กรรมดี” ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนนจะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือคือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเองก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้

แต่ถ้าถามว่าเราทำเองนั้นทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้วผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่

สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบาอาจารย์ ผู้ที่มี จิตดี จิตบริสุทธิ์ เทพเทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า “ผ่าน

นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบและแสดงให้เห็นว่าทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน แต่ถ้าจะให้ “เยี่ยม” ต้องใช้คะแนนมาก ๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดีมาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดีและได้ผู้ช่วยเหลือดี เลยทำให้ได้ดีมากยิ่งขึ้น จำเอาไว้ว่ากรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25ไปจัดสัดส่วนเอาเอง

ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริงใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดี ๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อนจะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการหรือจะได้รับสิ่งที่ดี ๆ ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นความเป็นจริงตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนนจากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ “กรรม” 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบาย ๆ จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อนให้ตัวเองมี “ดี” พอก่อน ก่อนที่จะไปหา “ดี” จากที่อื่น

บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง“ส่วนประกอบเท่านั้น” คนที่ไม่มี “กรรม” ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการหรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง

แต่การสวดมนต์ก็ได้ “กุศล” แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกันทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลกันไม่ดีกว่าหรือ ?

ทั้งทำ “กรรม” ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือ สิ่งช่วยเหลือที่ดีแล้วสิ่งที่คุณต้องการ…ก็จะไม่ไกลเกินความจริง

การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด

1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง 

คือท่อง ๆ บ่อย ๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้ ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมายเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น(แต่ถ้ารู้ความหมายด้วยก็เป็นเรื่องดี)จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ

2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ

หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้นต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน(จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้นให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้นคือตัวอะไร ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้ กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติและมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ “พลังงาน” ที่ดี ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่าสวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ “ดีกว่า” สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล

ข้อมูลอ้างอิงจาก http://www.oknation.net/blog/benjaporn/2009/09/11/entry-1

เรียบเรียงโดย น้องบารมี

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น